green and brown plant on water

เมตตาสมาธิรับภัยพิบัติ

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

 วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2568

เรื่อง เมตตาสมาธิรับภัยพิบัติ

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วทั้งร่างกายพร้อมกับความรู้สึกที่เราผ่อนคลายปล่อยวาง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปล่อยวางความเชื่อมโยงความเกาะเกี่ยวความยึดติดในร่างกายทั้งหมด ผ่อนคลายเพื่อตัดร่างกาย แยกกายแยกจิต ผ่อนคลายปล่อยวาง

จากนั้นจึงกำหนดใช้สติ กำหนดรู้กำหนดดูในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม กลั่นมวลอากาศให้เป็นลมปราณ จินตภาพเห็นลมปราณไหลเวียนถ่ายทอดผ่านเข้าออกร่างกายเหมือนกับแพรวไหม ลมหายใจที่ผ่านเข้าออก สติกำหนดดูกำหนดรู้ตลอดสายตลอดทั้งกองลม ลมหายใจละเอียดเป็นประกายระยิบระยับ สติกำหนดรู้ กำหนดดู จดจ่อตามติดในลมหายใจตลอดสาย พร้อมกับการกำหนดรู้กำหนดดูในเวทนา ลมหายใจสบาย จิตใจของเราเข้าถึงอารมณ์สบาย อารมณ์จิตสงบเบา

ทรงอารมณ์อยู่กับสติที่กำหนดรู้ในลมหายใจ สติที่รู้ประคับประคองอารมณ์ความสบายความสงบของจิต ทรงอารมณ์ไว้  เข้าถึงความสงบเย็น ปล่อยวาง จดจ่ออยู่แต่เพียงความสงบ

เมื่อจิตของเราสงบเบาร่มเย็น ประคองอารมณ์จนจิตมีความสบายมีความเบาแล้ว เราก็ยกกำลังของสมถสูงขึ้นอีก จากลมหายใจที่เบาละเอียดสงบ เป็นฌานที่สามของอานาปานสติ เราก็จดจ่อความเบาสงบ

ใช้จิตกำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด เมื่อหยุดจิต หยุดการปรุงแต่ง หยุดความคิดทั้งหลาย ความรู้สึกว่าจิตนั้นหยุด ลมหายใจดับสงบระงับ จิตก็ยกเข้าสู่ฌานสี่ในอานาปานสติกรรมฐาน เป็นฌานสี่ใช้งาน เมื่อเข้าถึงฌานสี่ในอานาปาแล้ว

กำหนดรู้ว่าจิตเราเข้าถึงอุเบกขารมณ์ เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง จิตหยุด จุดที่หยุดคือ จิตที่จุดรวมตัวกันเป็นเอกัคคตารมณ์นั้น ยกจิตจากอานาปานสติขึ้นสู่กสิณจิต จุดที่หยุด น้อมนึกจินตภาพว่าจากจุดขยายกลายเป็นวง จากวงที่ขยายใหญ่ขึ้นเปลี่ยนจากสองมิติคือ เส้นที่เป็นเส้นวงกลมกลายเป็นสามมิติคือ กลายเป็นทรงกลม กลายเป็นดวงแก้วใส กำหนดน้อมนึกดวงแก้วใสให้สว่างขึ้นใสขึ้น อารมณ์จิตเชื่อมโยงกับนิมิตที่ปรากฏขึ้นเป็นประการที่หนึ่ง

ประการที่สอง กำหนดน้อมเชื่อมโยงว่าภาพนิมิตที่เป็นกสิณเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กสิณมีจิตตานุภาพอภิญญาฤทธิ์เกิดขึ้นเพียงใด จิตเราก็สะสมเพาะบ่มอภิญญาฤทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกับจิตเราฉันนั้น จิตกับกสิณเป็นเอกัคคตารมณ์ คือเป็นหนึ่งเดียวกัน กสิณทั้งสิบกองมีกำลังแห่งฤทธิ์อภิญญาเฉพาะเจาะจง ดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณวรรณะ กสิณแสงสว่าง กสิณความว่าง มีฤทธิ์เพียงใด เราน้อมเป็นหนึ่ง สิบดวงกสิณเป็นหนึ่งเดียว เอกัคคตารมณ์ในจิตเราเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณทั้งสิบกอง

จากนั้นกำหนดเห็นจิตกลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่างระยิบระยับปรากฏขึ้น มีแสงรัศมีคือเส้นแสงแผ่ออกมาจากจิตที่เป็นเพชรระยิบระยับนั้น เส้นแสงรัศมีเป็นเจ็ดสี เป็นประกายพรึกหรือประกายรุ้ง มีความสว่างชัดเจนแพรวพราว บรรยากาศพ้นจากเส้นแสงรัศมีของจิต ปรากฏสภาวะบรรยากาศแห่งความเป็นทิพย์ครอบคลุมไปทั่วจักรวาล มีลักษณะเป็นเหมือนกับชั้นบรรยากาศพร่างพรายไปด้วยกากเพชรโปรยปรายระยิบระยับทั่วอาณาบริเวณ ทรงสภาวะจิตเป็นกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตเต็มกำลัง พร้อมกับความรู้สึกอารมณ์จิตเชื่อมโยงกับภาพนิมิต ดวงจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตเราแพรวพราวสว่างระยิบระยับเพียงใด ภายในจิตเรารู้สึกสัมผัสตระหนักถึงว่ามีกำลังมีพลังงานอันไม่มีประมาณอยู่ภายในดวงจิตของเรา อัดแน่นอยู่ภายใน เปล่งประกายแสงสว่างออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่จิตเราเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตเราเปี่ยมพลังอย่างยิ่ง จิตเราผ่องใสอย่างยิ่ง จิตของเราแพรวพราวอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะจิตอันเปี่ยมพลังทั้งความเป็นทิพย์และพลังงานที่ล้นมากมายยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ทุกดวงในจักรวาลมารวมกัน ทรงอารมณ์ทรงสภาวะจิตในกสิณจิตเต็มกำลัง ความระยิบระยับแพรวพราว ความเปี่ยมพลัง ความผ่องใส ความสุข ความเป็นทิพย์ของจิต ถึงพร้อมในหนึ่งเดียว ทรงอารมณ์ไว้ ทรงสภาวธรรมไว้ ในขณะที่ทรงอารมณ์ก็ตั้งใจว่าจิตเรามีกำลัง เราสามารถทรงอารมณ์ได้นานเท่าที่ต้องการ ทรงสภาวะจิตที่ทรงคุณภาพความผ่องใสของกสิณ จิตตานุภาพอภิญญาฤทธิ์ของจิตสามารถทรงตัวได้ยาวนาน ทรงสภาวะ ถ้าภาพนิมิตมีความมัวลง ก็กลั่นให้สว่างขึ้น ใสขึ้น ระยิบระยับแพรวพราวขึ้น

จากนั้นจึงกำหนดจิต ตั้งกำลังใจของเราว่า และรัศมีจิตแสงสว่างที่เปล่งประกายจากจิต เราตั้งกำลังใจว่าให้เป็นกำลังแห่งเมตตา คลื่นกระแสแสงสว่างพลังงานที่แผ่จากจิตของเราเป็นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ

กำหนดจิตแผ่สว่าง กสิณจิตแผ่รัศมีแห่งเมตตา ถึงพร้อมในกำลังสูงสุดแห่งพรหม เข้าถึงฌานสี่ เข้าถึงเมตตาอันไม่มีประมาณ กำหนดรู้สภาวะกำลังจิตกำลังใจเราขณะนี้ อยู่ในระดับของอาภัสราพรหม พรหมที่มีแสงสว่างอันไม่มีประมาณ แผ่เมตตาสว่าง ภูมิจิตของเราสว่าง กระแสจิตของเรา จิตเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวสว่างผ่องใส

ในขณะที่ทรงอารมณ์นี้ เราตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ผลอานิสงส์แห่งเมตตาอันไม่มีประมาณนี้ จงเกิดเป็นผลคุ้มครองทั้งกายเนื้อกายทิพย์ จิตของเราให้มีผลอานิสงเต็มกำลังด้วยเถิด

จากนั้นกำหนดจิตต่อไปว่า และข้าพเจ้านั้นขอน้อมจิตน้อมนำกำลังพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ มาเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตของข้าพเจ้า ภาพพระพุทธนิมิต คือภาพที่ข้าพเจ้านึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธองค์ ภาพที่ปรากฏในจิต หรือที่เรียกว่าพุทธนิมิตนี้ ขอจงมีกำลังแห่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ ประดุจพระพุทธองค์ทรงเสด็จประทับมาอยู่กลางจิตของข้าพเจ้า กำลังแห่งพระพุทธเมตตามีไม่มีประมาณสักประการใด ก็ขอให้กำลังใจข้าพเจ้ามีเมตตาอันไม่มีประมาณฉันนั้น กำลังพุทธานุภาพมีความศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ประการใด ก็ขอให้จิตข้าพเจ้ามีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์ประการนั้นด้วยเช่นกัน

จากนั้นกำหนดเห็นจิตเราเป็นเพชรประภัสสรเป็นเพชรประกายพรึก มีองค์พระพร้อมกับแผ่กระแสเมตตาสว่าง แผ่สว่างคลุมสามแดนโลกธาตุ เปิดสว่างเห็นสวรรค์เห็นพรหมขึ้นไปจนถึงพระนิพพาน ลงไปเบื้องล่าง โอปปาติกะสัมภเวสีเปรตอสุรกายสัตว์นรกทั้งหลาย แผ่ออกไปในภพกลางคือภพของมนุษย์ แผ่ไปทั่วจักรวาล กำหนดจิตทรงอารมณ์เห็นภาพพระพร้อมกับแผ่เมตตาสว่าง แล้วเรากำหนดจิตอธิษฐานในขณะที่จิตเราที่เป็นเพชรประกายพรึกมีองค์พระสว่างเจิดจ้าเต็มกำลังนั้น ว่าด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์อันไม่มีประมาณ เป็นพระรัตนตรัยดวงแก้วอันประเสริฐ จิตข้าพเจ้าถึงพร้อมซึ่งไตรสรณคมภ์ ถึงพร้อมซึ่งพุทธานุภาพ ถึงพร้อมซึ่งกำลังในพรหมวิหารสี่ มีเมตตาไม่มีประมาณเป็นกำลังหลัก จิตข้าพเจ้าทรงอารมณ์นี้ไว้ และขอให้อานิสงส์แห่งพรหมวิหารสี่ โดยเฉพาะการเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณ อันได้แก่ เป็นผู้ที่เป็นสุขทั้งยามหลับ มีความสุขกายสุขใจทั้งยามตื่น เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ที่ปราศจากเวรภัยต่อมนุษย์ด้วยกัน เป็นที่รักของอมนุษย์ คือจิตวิญญาณโอปปาติกะสัมภเวสีเปรตอสุรกายทั้งหลาย ด้วยเหตุที่จิตข้าพเจ้าปราศจากการเบียดเบียนปราศจากเวรภัย และแผ่เมตตาอุทิศให้สรรพสัตว์สม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดมา เป็นที่รักของเทวดาและพรหมทั้งหลาย ด้วยอาศัยที่จิตข้าพเจ้าเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณถึงทุกท่านทุกๆพระองค์ แผ่เมตตาไปทั้งสามภพภูมิ และอานิสงส์สำคัญก็คือไม่เป็นอันตรายจากดินคือแผ่นดินไหว ภัยจากธรณีทั้งหลาย ไม่เป็นอันตรายจากน้ำคือ อุทกภัยทั้งหลาย คลื่นทั้งหลาย สึนามิทั้งหลาย เป็นผู้ที่ไม่เป็นอันตรายจากไฟคือ เพลิงไหม้ ระเบิดรังสีทั้งหลาย เป็นผู้ที่ไม่เป็นอันตรายจากยาพิษทั้งปวง และอานิสงส์เฉพาะจุดนี้ในการเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณ ทำให้แม้ยามจุติตายจากภพนี้ย่อมจุติยังพรหมโลก แต่กำลังใจกำลังจิตกำลังปัญญาวิปัสสนาญาณของข้าพเจ้าปรารถนาในพระนิพพาน  และอานิสงค์แห่งการเจริญเมตตา ยังให้ศีลนั้นมีความสมบูรณ์เป็นอริยศีล คือศีลของพระอริยเจ้า เกิดจากจิตที่ฝึกมาดีแล้ว มีเมตตามากมายโดยไม่มีประมาณแล้ว จิตจึงปราศจากเวรภัย ปราศจากการเบียดเบียน ปราศจากการกระทบ ทำให้ศีลมีความบริสุทธิ์ มีความสะอาดเกิดขึ้นจากพื้นความบริสุทธิ์ของจิตอย่างแท้จริง อานิสงส์ที่ยังจากการเจริญเมตตาทำให้เข้าฌานสมาบัติได้ง่าย เพราะจิตปราศจากความวุ่นวาย ศีลมีความบริสุทธิ์ เฉพาะการทรงอารมณ์ในเมตตาก็เป็นฌานสมาบัติโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และท้ายที่สุดเมื่อใช้กำลังแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณสามภพภูมิ จิตรู้เห็นความทุกข์ความลำบากในสังสารวัฏที่ปรากฏขึ้น จิตจึงสามารถบรรลุธรรมบรรลุมรรคผลได้โดยง่าย

เรากำหนดกำลังใจของเราพิจารณาว่า เพราะเราเห็นว่าภพทั้งหลายเป็นทุกข์ เราปรารถนาที่จะดับทุกข์บรรเทาความทุกข์ความร้อนความเร่าร้อนให้กับสรรพสัตว์ในภพต่างๆ เมื่อเราแผ่เมตตาให้สามภพภูมิก็เท่ากับเราเห็นว่าทั้งสามภพภูมินี้ยังมีความทุกข์มีความลำบาก ก็เท่ากับเรามีปัญญาวิปัสสนาญาณ เกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นภัยในสังสารวัฏด้วยเช่นกัน เพราะเห็นว่าทุกข์จึงปรารถนาดีช่วยเหลือ เพราะเห็นว่าทุกข์จึงปรารถนาให้สรรพสัตว์พ้นจากความทุกข์ พ้นจากภัยทั้งหลาย

กำหนดน้อมจิตว่าจิตอันบริสุทธิ์นี้ ขอแผ่เมตตาสว่าง หากกำลังแห่งบุญกุศล เมตตาอันไม่มีประมาณที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เจริญพระกรรมฐานเป็นอภิจิต จิตรวมตัวทั้ง 61 ท่านเป็นหนึ่งเป็นกำลังบุญช่วยค้ำยันให้วิบากกรรมทั้งหลายบรรเทาเบาบาง วิบากใดกรรมใดภัยพิบัติใดที่พึงบรรเทาเบาบางลงได้ก็ขอให้บรรเทาเบาบางลง ที่หลีกเลี่ยงได้ก็ขอให้จงหลีกเลี่ยงไปพ้นไป จุดใดที่มีผู้ที่มีบุญมีกุศลความดีก็ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย รวมทั้งตัวของข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรกัลยาณชน ญาติทั้งหลาย บุคคลอันเป็นที่รัก อันไม่เกินจากวิสัยของกฎแห่งกรรมด้วยเทอญ กรรมใดวิบากใดที่สามารถดับได้ลงได้เลิกได้ อโหสิกรรมได้ก็ขอให้เลิกแล้วต่อกันด้วยเถิด

จากนั้นกำหนดจิตให้เห็นองค์พระในจิตเราสว่าง อธิษฐานขอกำลังพระพุทธองค์ กำลังครูบาอาจารย์อันไม่มีประมาณ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธานสงเคราะห์โลก แผ่เมตตาให้กับดวงจิตทั้งหลายที่เสียชีวิต ที่ประสบภัยพิบัติทั้งปวง แผ่เมตตาสลายล้างดับความอาฆาตพยาบาท การจองเวรของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอกำหนดพุทธานุภาพแผ่สว่างกระจายสลายให้กระแสกรรมกระแสวิบาก พลังงานที่เป็นลบ บรรเทาเบาบางคลายตัวลงด้วยเถิด

ขอบารมีหลวงพ่อ ขอบารมีหลวงปู่ปาน ขอบารมีหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า หลวงปู่ทวด พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมตตาสงเคราะห์ จากนั้นขอญาณเครื่องรู้จงปรากฏ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าพึงรู้ก็ขอให้ได้รู้ สิ่งใดที่พึงทราบก็ขอให้ได้ทราบ รู้เหตุแห่งความเป็นไปที่ปรากฏขึ้น กระแสวิบากกรรมที่ปรากฏขึ้น

กำหนดลองกำหนดดู จริงๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยแล้ว ประเทศไทยยังถือว่าโดนน้อย จริงๆเป็นวาระกรรมของทางพม่าส่วนใหญ่ บุคคลที่เสียชีวิตในตึก คนไทยก็รอด ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตไปก็เป็นพม่าจำนวนมากกว่าคนไทย ส่วนรายอื่นๆที่เสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์ เช่นหัวใจวาย เหนื่อยจากการวิ่งลงตึก อันนี้ก็เป็นวาระกรรมแต่ละบุคคล แต่ถือว่าเกิดความเสียหายน้อยมากแล้ว อันนี้พระท่านสงเคราะห์เต็มที่แล้ว

กำหนดจิตต่อไป ทรงอารมณ์ใจแผ่เมตตาสว่าง กำหนดจิตอธิษฐานว่า ด้วยอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมด้วยความสม่ำเสมอ เจริญเมตตาอันไม่มีประมาณอย่างสม่ำเสมอ ขอกำลังบุญและอานิสงส์แห่งเมตตา ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทางธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามอานิสงส์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาสอนไว้ อธิบายไว้ ในอานิสงส์แห่งเมตตาทั้งสิบสามประการด้วยเถิด

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ยกจิตขึ้นไปขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน ขอจงปรากฏสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานด้วยเถิด อธิษฐานให้กายทิพย์เราอยู่ท่ามกลางมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน ขอครูบาอาจารย์ทุกๆพระองค์ปรากฏ

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้กายทิพย์ของเรานั่งขัดสมาธิเพชรบนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว เจริญพระกรรมฐานบนพระนิพพาน พิจารณาในความไม่ประมาท พิจารณาในมรณานุสติ ว่าอันที่จริงความตายมันก็ใกล้เราเข้ามาทุกที ภัยพิบัติก็เกิดขึ้นและก็จะเริ่มเกิดเข้มข้นมากขึ้นนับตั้งแต่ช่วงนี้ไป จนกระทั่งหมดกำลังของกรรมที่ฝ่ายล้างเขาดำเนินการจนกระทั่งถึงที่สุด ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคชาววิไล

กำหนดพิจารณาว่า ถึงเวลาคนดีก็ตาย คนเลวก็ตาย เราก็อาจจะตายได้ เกิดภัยพิบัติถึงแม้ว่ามันไม่มีโทษภัยหรือกระทบอันตรายกับตัวกับกายเราตรงๆ แต่ถ้าถึงวาระกรรมที่เราหมดอายุขัย เราก็อาจจะตกใจหัวใจวายได้ หรือวิ่งหนีภัยจนกระทั่งเหนื่อยหัวใจวายตายได้ ซึ่งถึงเวลาความตายมันไม่มีกำหนด ไม่มีกาล ไม่มีสถานที่ที่เราจะรู้ว่าเราจะตายอย่างไรลักษณะใด แต่เราสามารถที่จะตั้งจิตตั้งเป้าหมาย กำหนดจุติของเราว่า ตายจากชาตินี้ไปเราปรารถนาเพียงพระนิพพานเพียงจุดเดียว ให้เราตั้งกำลังใจไว้เช่นนี้ แล้วก็ลองทบทวนดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราทุกคนแต่ละบุคคลที่ประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ปรากฏขึ้นในครั้งนี้ จะอยู่ในส่วนใดของประเทศ คนที่อยู่กรุงเทพฯก็กระทบมากหน่อย

เราย้อนดูเหตุการณ์ในอดีตังสัญญาณ เข้าไปดูว่าหนึ่งในภาคจิต ใช้เจโตปริยญาณคือดูวาระจิต แต่ดูวาระจิตไม่ต้องไปดูของคนอื่น ดูจิตของเราก่อน อดีตังสญาณเจโตปริยญาณบวกกัน ก็คือย้อนกลับไปดูวาระจิตในอดีต วาระจิตในอดีตก็คือใจของเรามีความกลัว มีความตกใจ มีความหวั่นไหวไหม เหตุการณ์เกิดขึ้นมีสติไหม ควบคุมอารมณ์ควบคุมปฏิกิริยา หรือแตกตื่นตกใจใจเต้น เราย้อนดูว่าเราพอสอบผ่านบ้างไหม หรือเรานึกถึงพระทันไหม หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรารีบยกจิตขึ้นพระนิพพาน หรือเหตุการณ์เกิดขึ้นเรากำหนดอธิษฐานนึกถึงพระพุทธเจ้า อธิษฐานขอยันต์เกราะเพชรลงมา อธิษฐานขอองค์พระคลุม อธิษฐานขอลูกแก้วคลุม เราได้ทำไหม อันนี้ก็คือให้เราทบทวนดู ถือว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งนี้จริงๆก็คือเป็นการเตือน เตือนว่าเรายิ่งต้องเข้มข้นในการปฏิบัติ เราต้องมีความไม่ประมาท จากเมื่อก่อนเราอาจจะปฏิบัติมีความสบายๆหละหลวม คราวนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ตรงนี้ก็คือพระท่านสั่งมา ณ บัดนี้ด้วยว่า เราจะต้องมีการปฏิบัติที่เข้มข้นขึ้น เข้มข้นขึ้นอย่างไร พยายามที่จะตั้งจิตตื่นมาอาราธนาบารมีพระคลุมให้ได้ตลอด ทรงภาพพระตลอด ยกจิตขึ้นพระนิพพานตลอด จะทานอาหารก็อาราธนาบารมีพระลงมา ดื่มน้ำก็อาราธนาบารมีพระลงมา น้อมจิตจับแก้วน้ำปุ๊บนึกภาพน้ำที่เราดื่มให้กลายเป็นเพชรประกายพรึกตลอด ให้เป็นน้ำทิพย์น้ำมนต์ตลอด คือหยิบจับเคลื่อนไหวทำสิ่งใดก็มีกรรมฐานกำกับ มีภาพพระมีกำลังของกสิณมากำกับ กำลังของกสิณนี้จริงๆมันก็เป็นเรื่องที่ถ้าเข้าใจเคล็ดลับการฝึกการปฏิบัติก็ไม่ใช่เรื่องยาก เรานึกเอาง่ายๆนึกในใจ เราหยิบจับสิ่งใด เราสัมผัสปุ๊บ สิ่งที่เราสัมผัสในภาคทิพย์ความเป็นทิพย์ มันกลายเป็นเพชรทันที เป็นเพชรประกายพรึกทันที จับจานข้าวที่เราจะยกถวายพระ คือถวายข้าวพระในกรรมฐานในจิต จับข้าวพระ จานข้าวทั้งจานทั้งช้อนส้อมทั้งอาหารกลายเป็นเพชรสว่าง มีความเป็นทิพย์ หยิบจับสิ่งใดก็เห็นเป็นเพชรไปหมด ฝึกให้มันมีความเข้มข้นแบบนี้

กำหนดน้อมเห็นยันต์เกราะเพชรประทับ ปรากฏเป็นเพชรสว่างอักขระสว่างทั่วกายทุกวัน สวมสร้อยคอเราอาราธนาพระห้อยคอก็เห็นพระเป็นเพชรสว่าง มีกำลังพุทธานุภาพเต็มกำลังตลอดทุกครั้ง กำหนดความเข้มข้นในการปฏิบัติให้ได้แบบนี้ สติก็จะอยู่ การกำหนดรู้ก็จะอยู่ ถึงเวลาถ้าไม่เกินกฎของกรรมพระก็สงเคราะห์เราได้เต็มกำลัง อันนี้ก็คือการน้อมนำเอากำลังของพระกรรมฐานมาใช้ในยามเกิดภัยพิบัติ ในยามที่ภัยมา ภัยไม่รู้จะมาเมื่อไร แต่เราจงกำหนดรู้ว่ามันเข้าสู่ช่วงเวลาเข้าสู่โซนอันตราย จำเป็นที่จะต้องมีความเข้มข้นในการปฏิบัติขึ้น อันนี้ก็ให้เรานำไปประยุกต์ใช้ ไปประยุกต์ในการปฏิบัติ

จากนั้นสิ่งต่อมาที่ให้เราดูต่อ อดีตังสญาณของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราลองน้อมจิตพิจารณาย้อนดู ใช้ความเป็นทิพย์ กับอดีตังสญาณ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นเรามีเทวดาพรหมที่ท่านมาช่วย มาสงเคราะห์มาดลใจ จากหนักให้เป็นเบา จากเบาให้แคล้วคลาดไหม หรือมีมาช่วยให้สบายขึ้นไหม เช่นท่านดลใจให้จากปกติต้องลำบากก็กลายเป็นไม่ลำบากมาก หรือดลใจให้เราไปที่นี่จะได้ไม่ต้องลำบากมาก เลยไปเจอกับเหตุการณ์ที่มันรุนแรงกว่า เราลองพิจารณาว่ามีไหม กำหนดรู้แล้วก็น้อมใจขอบพระคุณท่าน ถ้าเรามีพระที่ท่านดลใจที่ท่านช่วยอยู่ เมื่อเรากำหนดดูแล้วก็กำหนดรู้ในแต่ละคนของเราเอง 

จริงๆแล้วเวลาที่เราปฏิบัติพระกรรมฐาน เวลาที่เราเกิดมาและเรามีหน้าที่ช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เรามีพ่อซื้อแม่ซื้อ มีเทวดาคุ้มครอง มีพรหมที่ท่านเมตตามาคุ้มครองมากกว่าที่เราคิด หลายเหตุการณ์มากกว่าที่เราคิดหรือจำได้ เราก็น้อมจิตขอบพระคุณทุกท่าน ขอบคุณทุกท่านนับตั้งแต่ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ตั้งแต่เด็กตั้งแต่เล็กจนโตตราบจนปัจจุบัน สิ่งใดที่ท่านเมตตาช่วยเหลือสงเคราะห์เราโดยที่ไม่เกินอำนาจกฎของกรรมแล้วท่านช่วยเรา เราก็น้อมจิตกราบขอบพระคุณท่านด้วยความกตัญญูกตเวทิตา แล้วก็ขอให้ท่านช่วยเราต่อไป หากมีกำลังที่มีอำนาจของกรรมมาส่งผลตัดรอนก็ขอให้ท่านดลใจให้เราแก้ไขได้แก้ไขทัน ไปทำบุญได้ทัน ไปเจริญพระกรรมฐานได้ทัน ไปสวดมนต์ได้ก่อน  จากที่ต้องโดนจากที่วาระกรรมมันจะต้องเรียบร้อยจะต้องโดนก็กลายเป็นเราแก้ก่อนแก้ได้แก้ทัน แคล้วคลาดปลอดภัย อันนี้ก็คือใช้กำลังพระกรรมฐานช่วยเต็มที่แล้ว  อธิษฐานบารมีช่วยเต็มที่แล้ว ใครที่เข้ามาฟังเข้ามาปฏิบัติสำหรับวันนี้หลายคนที่ไม่ได้เข้ามาตั้งนาน ก็เหมือนมีใครดลใจให้เข้ามา เราก็กำหนดรู้ว่าจริงๆก็คือเทวดาพรหมนั่นแหละ ท่านก็ดลใจให้มาปฏิบัติมาฝึกมาฟัง จะได้ปลอดภัยรอดไปได้

จากนั้นก็กำหนดจิตต่อไปยังอยู่ข้างบนพระนิพพาน น้อมจิตน้อมใจว่า การฝึกการปฏิบัติกรรมฐานที่เราฝึกที่เราปฏิบัติมา ถ้าหากเราอยู่ในยามคับขันจริงๆ ธรรมะท่านให้น้อมเข้าสู่ตน สมมุติว่าตัวเราติดอยู่ในตึกที่มันต้องถล่มจริงๆเราจะทำอย่างไร ให้ตอนนี้เรากำหนดจิตดู เราจะแตกตื่นเราจะวุ่นวายใจ หรือเราจะกำหนดรู้พิจารณาว่าตายตายแน่ ถ้าเราจะต้องตายแน่เราก็ขอไปพระนิพพาน สมมุติว่าถ้าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจริงๆ วิธีการที่ดีที่สุดถ้าเราติดอยู่ในตึกแล้วมันถล่มแล้วมันดูท่าหาทางออกไม่ได้ เราติดอยู่ท่าไหนเราก็อยู่ท่านั้นไป จิตทรงอารมณ์สมาธิ ยิ่งเราทรงอารมณ์สมาธิสูงเท่าไรร่างกายยิ่งใช้อากาศใช้พลังงานน้อยลง ร่างกายอยู่ในสภาวะจำศีล จากนั้นถึงเวลาเรากำหนด ถ้าเราตายก็ปล่อยมัน ตายเมื่อไรเราไปพระนิพพานแล้วก็ยกจิตขึ้นไปรอบนพระนิพพาน แต่ถ้าหากโชคดียังไม่ถึงวาระที่เราจะต้องตาย การที่เราอยู่ในสภาวะแยกกายแยกจิต ลมหายใจละเอียดเบา อยู่ในสภาวะจำศีล โอกาสรอดชีวิตของเราก็เพิ่มมากกว่าคนทั่วไป แล้วก็อย่าลืมว่าในขณะที่จิตทรงฌาน เรามีเทวดามารักษาร่าง มีพลังงานพิเศษจากจิตที่เป็นอภิญญาจิตมาคุ้มครองรักษาป้องกันให้มีความแข็งแรงกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราฝึกที่เราฝึกมันไม่ใช่แค่อานาปา มันเป็นการฝึกปราณไปด้วยพร้อมกัน เราก็จะมีพลังชีวิตมากกว่าคนทั่วไป

ดังนั้นถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงๆ เราฝึกเราทบทวนตามที่สอน เข้าฌานทรงสติ ปล่อยวางตัดกาย แยกกายแยกจิต ยกจิตขึ้นพระนิพพาน กายก็ปล่อยมัน ถ้าไม่ถึงวาระไม่ถึงฆาตจริงๆ เราก็มีโอกาสรอดมากกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าถึงเวลาถ้ามันหมดอายุขัย ช่วยไม่ได้ต่อไม่ได้ เป็นวาระเราจริงๆ เราถึงประสบภัยพิบัติ แต่จิตเราก็เข้าไปนิพพานไป มันจะตายท่าไหนมันไม่สำคัญ จะนอนหลับสบายตาย จะตายโดยอุบัติภัย ตายโดยสังหารถูกสังหาร แต่ถ้าจิตสุดท้ายเราถึงซึ่งพระนิพพานเข้าถึงอรหัตผล จะตายท่าไหนมันก็ไม่สำคัญ ให้เรากำหนดพิจารณาไว้แบบนี้เสมอ สำคัญว่าตายเมื่อไร เราไปพระนิพพานพอ

ลองคิดพิจารณาดูว่า แม้แต่พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิตยังสิ้นชีพ เสด็จเข้าถึงพิราลัยด้วยการถูกยิงบนเฮลิคอปเตอร์ จากผู้ก่อการร้ายข้างล่าง อันนี้ก็ถือว่าท่านถูกสังหาร จะเจตนาหรือไม่เจตนาแต่ก็ถูกสังหาร แถมตายบนฟ้า สิ้นชีพอยู่บนฟ้า แต่สุดท้ายคือจิตท่านไปพระนิพพาน ดังนั้นสิ่งสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ว่าตายอย่างไร สำคัญอยู่ที่ว่าตายเมื่อไรเราไปพระนิพพาน พยายามฝึกแบบนี้เสมอ อย่าไปคิดว่าโอ้นี่เราจะต้องมาตายในภัยพิบัติแบบนี้หรือ เราต้องมาตายข้างถนนแบบนี้หรือ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่สำคัญ สำคัญว่าตายไปแล้วไปไหน ถ้าไปคิดตรงนั้นมันก็กลายเป็นว่าเราไปติดไปพะวงอยู่กับการตายว่ากายเราจะต้องมาตายข้างถนนก็คือ จิตเราเกาะกาย โดยที่เราไม่รู้ตัว มันจะตายที่ไหนช่างมันเพราะเราทิ้งกาย คนเขาจะว่าเราตายแบบอเนจอนาถอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเราจะไปพระนิพพาน ถ้าเราไปคิดว่าคนเขาจะมาว่าเราช่างตายอเนจอนาถ มีความติดตรงนี้ก็ต้องมาเกิดเพื่อมาตายใหม่ขอตายท่าสวยๆ เป็นแบบนั้นก็กลายเป็นว่าเราติด ต้องกลับมาเกิด ดังนั้นตายท่าไหนตายที่ไหนตายอย่างไร ช่างมัน สำคัญว่าตายเมื่อไรเราไปพระนิพพาน อันนี้ก็คือการฝึกกายฝึกจิตเตรียมกำลังใจไว้รับในยามเกิดภัยพิบัติ

สิ่งที่ขอเสริมเพิ่มก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในวันศุกร์ที่ผ่านมาก็คือ เมื่อวานนี้ อันนี้ท่านถือว่าเป็นสัญญาณเตือน ต่อไปก็จะเริ่มเกิดขึ้นต่อเนื่อง ประเทศไทยก็ต้องมาลุ้นต่อไปว่า จะมีกำลังบุญมาต้านทานความรุนแรงได้มากน้อยเพียงใด เพราะในประเทศไทยก็มีทั้งคนทำดีทำชั่ว ยิ่งคนชั่วขึ้นมาเป็นใหญ่ในบ้านเมืองก็ยิ่งเกิดแรงกรรมมาก

สำหรับอีกสิ่งหนึ่งที่พระท่านเตือนก็คือให้ระมัดระวัง ตอนนี้อย่างใต้โลกในแนวเปลือกโลกต่างๆ มันเกิดความสะเทือนถึงกันไปหมด แต่จุดที่เป็นจุดที่กระทบกับไทยเอง เมื่อก่อนมันก็มีทางฝั่งอินโดนีเซีย Ring of Fire ฝั่งอินโดนีเซีย ตอนนี้มันกลับมาเพิ่มในส่วนของเส้นรอยเลื่อนของพม่าที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ ก็กลายเป็นว่ามันเพิ่มอันตรายเพิ่มขึ้นไปอีก โดยเฉพาะว่าทางพม่านี่ส่งผลโดยตรงกับกรุงเทพมหานคร

จุดหนึ่งที่มันเป็นจุดที่จะส่งผลและจุดชนวนระเบิดครั้งใหญ่ของธรณีพิบัติหรือแผ่นดินไหวซึ่งธรณีพิบัตินี้มันจะรวมไปถึงสึนามิด้วย ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาของมัน คือทั้งโลกทั้งหมดนี้ จุดที่มันเป็นจุดเปราะบางที่สุดที่เราอาจจะนึกไม่ถึงก็คือ บริเวณใต้อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนของสหรัฐอเมริกา ตรงนั้นนักวิทยาศาสตร์พูดตรงกันหมดว่า ถ้าหากเกิดการจุดชนวนระเบิดของแผ่นดินไหวที่ yellowstone จุดนั้นมันจะเป็นที่เรียกว่า Super volcano คือมีความรุนแรงมากกว่าภูเขาไฟทุกแห่งในโลกรวมกัน

จากข้อมูลที่มีการทำแบบจำลอง ถ้าที่เยลโลว์สโตนระเบิดขึ้นมา ดินแดนทางฝั่ง LA คือฟากของสหรัฐด้านแปซิฟิกมันจะสไลด์ลงมหาสมุทรทั้งหมด รัฐต่างๆทางโซนนั้นจะมีอันตรายค่อนข้างแรง และเมื่อทวีปมันสไลด์ลงมหาสมุทรมันก็จะเกิดคลื่นกระเพื่อมไปที่ประเทศญี่ปุ่นแล้วก็ทางเอเชีย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตา ถ้าเกิดรุนแรงมากเท่าไร ภัยพิบัติก็จะรุนแรงมากเท่านั้น อันนี้ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่จะช่วยค้ำยันไปได้ แล้วก็เหตุการณ์ที่เป็นข้อมูลอีกอันหนึ่งที่น่าสนใจก็คือญี่ปุ่นประกาศเตือนว่าอาจจะเกิดการระเบิดของภูเขาไฟฟูจิในเร็วๆนี้ให้ประชาชนเต็มตัว ในยุโรปแล้วก็ประเทศฝรั่งเศสประกาศเตือนให้ประชาชนจัดทำเป้กระเป๋าฉุกเฉินเตรียมอาหารน้ำทรัพยากรให้อยู่ได้ประมาณ 7 วัน 1 อาทิตย์หรือ 2 อาทิตย์ ซึ่งคาดว่าจะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยาที่มีข้อบ่งชี้มาล่วงหน้า อันนี้คือเตือนก่อนที่เราจะเกิดแผ่นดินไหว หรือแม้แต่พม่าก็รู้ก่อนล่วงหน้า 2 วันก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันศุกร์ แต่ธรรมชาติธรรมดาของคนเป็นรัฐบาลเขาก็มักจะกลัวประชาชนแตกตื่น นี่คือคำปกติคือตัวประชาชนแตกตื่น ดังนั้นก็ให้มันเกิดแล้วค่อยว่ากันมาแก้ทีหลัง ไม่มีการป้องกันหรือให้ประชาชนเตรียมตัวก่อน แต่เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์นั่นก็คือคำเตือนแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เป็นไปได้ก็คือเริ่มปฏิบัติเข้มข้นขึ้น 2 ในทางโลกเราก็ไม่ประมาท เตรียมกระเป๋าเป้ฉุกเฉิน ถ้ากลัวว่าจะหิ้วไม่ทัน ตำแหน่งที่ไว้กระเป๋าเป้ฉุกเฉินรายละเอียดของในนั้นก็ไปหาอ่านเอาอาจารย์ลงไปแล้ว ตำแหน่งที่ไว้เป้ฉุกเฉินถ้าขยันเราก็หิ้วหนึ่งไว้ที่ข้างๆเตียงนอนเอาไว้หิ้วไปเวลาเกิดกลางคืน หรือเวลาที่เราอยู่บ้านไปทำงานก็หิ้วต่อไปในรถ พอลงจากรถไปที่ทำงานก็ไปที่ทำงานต่อ แต่ถ้าเป็นคนขี้เกียจเราก็ง่ายๆ ไว้ที่บ้าน 1 ชุด ไว้ในรถหรือเวลาที่เราเดินทาง 1 ชุด แล้วก็เอาไว้ที่ทำงานอีก 1 ชุด อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณหรือจริตอุปนิสัยความสะดวกของแต่ละคน สิ่งสำคัญก็คือควรที่จะคุยกับคนที่บ้านให้ไม่ประมาทเตรียมพร้อม แต่ต้องหาวิธีคุยโดยที่เราไม่สร้างความแตกตื่นจนเกินไปกับคนที่บ้านด้วย อันนี้ก็เผื่อไว้ก่อน แต่ครูบาอาจารย์หลายท่านก็เตือนว่าในเดือนเมษายนนี้ก็จะเริ่มเจอภัยพิบัติต่างๆเพิ่มขึ้น ท่านก็เริ่มเตือนมาตั้งแต่ครั้งที่แล้วเมื่อครั้งเมตตาสมาธิอาจารย์ก็ประกาศเตือนไป รอบแรกๆ นี่จะเป็นภัยพิบัติ ซึ่งอาจเกิดจากธรรมชาติจริงๆ หรืออาจจะเกิดขึ้นในรูปภัยธรรมชาติแต่เบื้องหลังลึกๆ เป็นฝีมือของมนุษย์บางคนบางกลุ่มบางองค์กร อันนี้เราก็ป้องกันของเรา ดูแลตัวเราเอง

สำหรับวันนี้เราพิจารณาเรารู้เห็นเราเพิ่งผ่านเหตุการณ์เรื่องภัยพิบัติ พอฟังแล้วตอนนี้ให้เราดูจิตตัวเราเอง เราอยู่บนพระนิพพาน ถ้าเราอยู่บนพระนิพพานแล้วภัยพิบัติกับโลกมันจะเกิดอีกเท่าไรเราต้องกลัวไหม แล้วคิดว่าภัยพิบัติต่างๆมันเกิดขึ้นมากี่ครั้ง ในอนาคตกาลมันจะเกิดอีกไหม แต่ถ้าเรายังเกิดอยู่เราก็ยังต้องเจอภัยพิบัติแบบนี้ ภัยพิบัติจากสงคราม ภัยพิบัติจากธรรมชาติ ภัยพิบัติแผ่นดินไหวน้ำท่วม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดารอพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นธรรมดาเป็นความเสื่อม บ้านเมืองอาณาจักรโยนกนครก็เคยถล่ม ศรีเทพก็เคยถล่ม อาณาจักรโบราณทั้งหลายก็เคยเกิดความพังพินาศจากภัยพิบัติ ในอิตาลี เมืองปอมเปอี อาณาจักรโรมัน ก็เคยถูกลาวาจากภูเขาไฟไหลบ่าทับถมคนทั้งเมืองตายลง ภัยพิบัติมันเกิดมาตลอดเวลา ดังนั้นใจเราพิจารณาว่าเห็นธรรมดาในภัยพิบัติเราก็ทำไปตามหน้าที่ เตรียมไปตามหน้าที่ ดูแลไปตามหน้าที่ ถ้าเกิดเกินกำลังถ้าถึงวาระเราต้องตายเราจะไปไหน เราก็ไปพระนิพพาน เราก็ตั้งใจไว้แค่นั้นพอ แต่ถ้าเรารู้แล้ว เราจะไปพระนิพพานลูกเดียวเราไม่เตรียมอะไร เราไม่เตรียมอะไร เกิดมันรอดขึ้นมาก็ลำบากตัวเราเองลำบากคนอื่น ดังนั้นเราปฏิบัติเราก็จงเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการทั้งปวง อันนี้ตามคำปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ ท่านรอดก็ดี เรามีเครื่องมือเราเตรียมตัวเรามีอุปกรณ์การเอาชีวิตรอดหรืออาจจะช่วยคนอื่นได้ แต่ถ้าตายก็ไม่เป็นไร ดังนั้นเราทั้งหลายก็ขอน้อมนำเอาปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ไว้ว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม คือไม่ประมาทในการทั้งปวง เตรียมการเตรียมจิตเตรียมสิ่งของไม่เป็นภาระของผู้อื่น ไม่เป็นที่ลำบากของตนเอง

สิ่งสำคัญก็คือจิต ต้องพยายามตั้งมั่นเข้มข้นในพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้น ปฏิบัติเข้มข้นขึ้น มีสติมากขึ้น ควบคุมอารมณ์ควบคุมกายควบคุมจิตได้มากขึ้นกว่าเดิม กำหนดน้อมจิตทรงสภาวะในความเป็นกายทิพย์ พิจารณาว่าเมื่อเราเข้าถึงพระนิพพานแล้ว ความทุกข์ความกลัวความกังวลทั้งหลายที่เราประสบอยู่นี้ เราก็ไม่ต้องพบพานอีกต่อไป อยู่กับพระนิพพานอันเป็นเอกบรมสุข ธรรมที่เป็นอมตะธรรม ธรรมที่ไม่ตาย เป็นสภาวะที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

กำหนดน้อมจิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน อธิษฐานกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ หากข้าพเจ้ามีวาระ มีบุญมีบารมี มีหน้าที่ที่จะต้องปรากฏต่อไปในยุคชาววิไล ก็ขอให้ข้าพเจ้าอยู่รอดปลอดภัย ปราศจากภยันอันตรายแม้แต่ปลายก้อย ให้ข้าพเจ้ามีกำลังกายกำลังใจ กำลังบุญกำลังบารมี กำลังจิตกำลังฤทธิ์อภิญญา กำลังมหาโภคทรัพย์ ครบถ้วนบริบูรณ์เต็มเปี่ยมด้วยเถิด

เมื่ออธิษฐานแล้วก็น้อมจิตอาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมาเป็นกำลังบุญคุ้มครองโลก เป็นแสงสว่างลงมาคุ้มครอง จิตดวงใดบุคคลใดที่อยู่ในวิสัยที่ปลอดภัยรอดพ้นแคล้วคลาด มีหน้าที่มีพันธกิจก็ขอให้รอดปลอดภัย เขตใดที่พึงเป็นที่จารึกพระพุทธศาสนาก็ขอให้มีความมั่นคง

จากนั้นอธิษฐานจิต ขอบารมีพระพุทธองค์กระแสจากพระนิพพานลงมาคุ้มครองเขตพระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม คุ้มครองพุทธบริษัทสี่ คุ้มครองดวงจิตผู้เป็นสัมมาทิฐิ ขอมีกำลังพุทธานุภาพ ในวัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุ พระทันตธาตุทุกพระองค์ วัตถุมงคลทั้งหลาย จงมีแต่พุทธานุภาพ สลายล้างอวิชชาคุณไสยเวทมนต์ดำทั้งหลาย จงสลายตัว พลังงานที่เป็นลบสิ่งที่เป็นอัปรีย์กาลีจงสลายตัวไปด้วยกำลังของพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มีแต่กระแสบุญบริสุทธิ์ มีแต่กระแสจิตบริสุทธิ์ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมารักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนถึงบุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ต่อชาติบ้านเมือง แผ่นดินและโลกใบนี้ ขอเทวดาพรหมเมตตาคุ้มครอง

จากนั้นน้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้ากราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน น้อมจิตกราบหลวงพ่อ ขอพรขอบารมีท่านคุ้มครองรักษา อธิษฐานจิตว่าถึงเวลาที่เกิดอันตรายใด ขอให้ท่านเมตตามาช่วยลูกทุกครั้ง หากถึงวาระลูกจริงๆก็ขอให้ท่านมารับลูกไปพระนิพพาน เมื่อกราบลาแล้วก็น้อมจิตอนุโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนทั้ง 66 ท่านที่มาปฏิบัติกันในวันนี้และที่มาฟังในภายหลัง อธิษฐานจิตให้บุญส่งผลทุกคนปลอดภัย จากนั้นอธิษฐานน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาเป็นลำแสงสว่างสีขาวเป็นประกายกากเพชรระยิบระยับฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกกลายเป็นแก้วกลายเป็นเพชรใส ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ กระดูกเป็นธาตุธรรม หลอดเลือดเส้นเอ็นฟอกชำระล้าง กระดูกเส้นเอ็น หลอดเลือด สะอาดใสบริสุทธิ์ ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ เซลล์ทุกเซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วน อวัยวะทุกส่วนอาการทั้ง 32 ประการทั่วร่าง อวัยวะภายใน ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บไอพิษไอโรค เซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้องอก เซลล์ผิดปกติทั้งหลาย จงสลายตัวไป จงสลายไปด้วยกำลังของบุญ กำลังของกรรมฐาน กำลังแห่งการล้างธาตุ ชำระล้างธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในร่างใสบริสุทธิ์

จากนั้นอธิษฐานจิตขอสายบุญสายทรัพย์สายบารมีจงปรากฏสว่าง อธิษฐานจิตขอยันต์เกราะเพชรที่เคยอาราธนาอัญเชิญมาทุกครั้ง ขอจงสว่าง ปลุกยันต์เกราะเพชรให้ปรากฏสว่างใส มีกำลังพุทธคุณเต็มที่ กำหนดน้อมนึกเห็นกายของเรามียันต์เกราะเพชร แสงสว่างจากยันต์เกราะเพชรพุ่งออกมาเป็นแสงพุ่งทะลุกายเนื้อออกมา กำหนดจิตเห็นมีลูกแก้วคลุมทั่วร่าง ครอบกายของเราสว่าง กำหนดน้อมจิตอธิษฐานขอให้เราปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง

เมื่อตั้งจิตอธิษฐานที่แล้ว ก็น้อมจิต บุญจงส่งผลทันใจ บุญจงส่งผลคุ้มครอง กาย วาจา ใจ เรา กายเนื้อกายทิพย์สว่าง อธิษฐานขอบารมีจงรวมตัวกันเป็นเกราะแก้วคุ้มครอง

จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ หายใจเข้าพุท ออกโธ พุทโธ ธัมโม สังโฆ

จากนั้นถอดจิตช้าๆด้วยจิตอันเป็นสุข ผ่องใส สว่าง

สำหรับวันนี้ก็มีเรื่องให้แจ้งให้ทราบ 2-3 เรื่องนะครับเรื่องแรกก็คือพรุ่งนี้เราไปถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลมเวลา 10.00 น. เป็นไปได้ถ้าคนไหนสะดวกก็มาร่วมถวายด้วยกัน

ช่วงนี้ก็ยิ่งต้องเร่งความเพียรทั้งทานศีลภาวนาให้เพิ่มขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากทานก็อย่าลืมว่าตั้งใจว่าเราเป็นผู้รักษาศีลด้วยยิ่งดี ศีลก็จะเป็นเครื่องป้องกันเราจากภัยพิบัติทั้งปวงอีกเรื่องอีกด้านหนึ่งอีกพลังหนึ่ง นอกเหนือจากกำลังเมตตากำลังพุทธานุภาพกำลังครูบาอาจารย์

แล้วก็สำหรับเรื่องการสร้างพระเจ้าองค์แสน เราก็ได้ดำเนินการวางมัดจำไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตัดสินใจถูกที่รีบตัดสินใจไปจอง บุญที่เราเริ่มลงมือจัดสร้างเริ่มต้นที่ว่าดำเนินการที่มีความคืบหน้าตรงนั้นก็เป็นบุญส่วนหนึ่งที่มาช่วยบรรเทาเบาบางคุ้มครองให้ภัยพิบัติมันเบาลงด้วย

ใครที่เขียนแผ่นทองไว้ก็รวบรวมพยายามรวบรวมจัดส่งมายังคุณกฤติกากันได้นะครับ เริ่มรวบรวมกันไปได้ซึ่งก็จะพยายามจะไม่แจกเพิ่มแล้ว แล้วก็แจ้งความคืบหน้าแต่ว่ามีความโชคดีว่าหลวงตาม้าท่านก็เมตตาจารแผ่นทองอธิษฐานให้ด้วย ครูบาอาจารย์ทางไปหลวงตาม้า หลายองค์ก็เมตตาจารให้เรียบร้อยนะครับ รวมถึงพระอาจารย์เยื้อนก็อธิษฐานจิตให้ มีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระโพธิสัตว์พระอริยเจ้าหรือแม้แต่ท่านที่เข้าถึงธรรมขั้นสูง เมตตาอธิษฐานจารให้หลายองค์ สำหรับใครที่สะดวกสามารถช่วยอัญเชิญแผ่นทองให้ครูบาอาจารย์เมตตาจารให้ได้ก็ช่วยกันนะครับจะได้เป็นกำลังรวมเป็นหนึ่ง แล้วก็กำลังบุญจะได้ส่งผลต่อส่วนรวมได้เพิ่มขึ้นมากขึ้น

วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่ช่วงสัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิลาวัลย์ วลีเดช

You cannot copy content of this page